ตะลุยดอยหา...โอโซนสะอาด กับทริป เด็กดอยสอยรถใหญ่ 2 จากทีมงาน Mocyc.com

ตะลุยดอยหา...โอโซนสะอาด
กับทริป เด็กดอยสอยรถใหญ่ 2  จากทีมงาน Mocyc.com

 

 

หลายคนออกทริปเพื่ออยากขี่รถ อยากเจอเพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ บ่อยครั้งสำหรับบางคนอาจจะอยากเห็นภาพจากตาตัวเองมากกว่ารูปถ่าย การออกทริปใครว่าเป็นเรื่องยาก สิ่งที่ต้องเตรียมตัวในการออกทริปที่สำคัญคือ รถมอไซค์  ตัวเราเอง และที่สำคัญมากกว่า คือ เตรียมเงินเอาไว้เติมน้ำมันด้วย (555+)  ในทริปนี้ผมเลือกใช้รถ Yamaha NMAX 155  เพราะว่าเป็นรถออโต้ที่ CC สูง และมีระบบวาล์วแปรผัน VVA ทำให้ตอบสนองคันเร่งในมือได้อย่างทันที พลิ๊กรถได้ง่าย ความประหยัด ท่านั่งในการขับขี่ที่สบายทำให้ลดความเมื่อยล้าในการขับขี่ระยะไกลๆ และมียูบ๊อกที่ใหญ่พอสมควรในการใส่สัมภาระ ช่วยลดการแบกของบนบ่าได้เยอะเลยครับ การเตรียมรถให้พร้อมก่อนออก

ทริปเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง ลมยาง เบรค น้ำมันเต็มถัง สภาพยางรถ ความพร้อมของรถ (อย่าลืมเอาที่ปะยางฉุกเฉินไปด้วย)

 

 

ตัวผู้ขับขี่เองก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะเรื่องของผู้ขับขี่เป็นเรื่องที่สำคัญ ต่อความปลอดภัยในการขับขี่ อุปกรณ์ในการเดินทางก็สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หมวกกันน๊อค ถุงมือ  อุปกรณ์เซฟตี้ในการขับขี่ (Riding Gear) เสื้อกันหนาว สิ่งอำนวยความสะดวก ของใช้ส่วนตัว ยาพาราหรือยารักษาโรคประจำตัว พาวเวอร์แบงค์ (เตรียมมาเยอะๆยิ่งดี) กล้องถ่ายรูป เพื่อเก็บความทรงจำ เสื้อกันฝน เพราะเส้นทางที่เราออกเดินทางเราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า  สภาพอากาศจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราทำได้คือเตรียมตัวให้พร้อม แล้วเราจะสนุกกับการเดินทางในทุกครั้ง  ทริปนี้เราใช้ Yamaha NMAX 155  เดินทางไป เชียงใหม่-ปาย-แม่ฮ่องสอน-ป่าบงเปียง-ดอยอินทนนท์-เชียงใหม่ รวมแล้วระยะทางที่เราขับขี่ไปชมความสวยงามจากธรรมชาติมีระยะทางไม่ต่ำกว่า 600 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางแบบไม่เร่งรีบ 3คืน 4 วัน เพื่อเสพบรรยากาศและเก็บความทรงจำเพื่อเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ดีๆ ในชีวิต ทริปครั้งนี้เป็นทริปที่ผมประทับใจเป็นอย่างมากครับ

 

 

ทริปนี้ได้ทั้งมิตรภาพในการเดินทาง ความสุขทางใจ และที่สำคัญ ทริปนี้ได้อะไรใหม่ๆมากกว่าที่เราคิดอีกครับ ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพในการเดินทางใหม่ๆ เพื่อนใหม่ สถานที่ใหม่ ทำให้ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เจอกับสิ่งใหม่ๆ เราได้ออกเดินทางจากร้าน Funky Grill เดินทางไปเรื่อยๆ ทริปนี้เส้นทางที่เราเดินทางไปปายใช้เส้นทาง  สะเมิง เส้นทางนี้ควรเดินทางด้วยความระมัดระวังหน่อย เนื่องจากเป็นถนนสองเลน สองข้างทางค่อนข้างชื้น และมีอยู่จุดหนึ่งที่เรียกว่าโค้ง 7 พับ ซึ่งเป็นโค้งที่จะมีความชันและแคบ ติดต่อกันหลาย ๆ โค้ง ทำให้การขับรถทัวร์เป็นไปได้ยาก แต่นั่นก็ทำให้เราสนุกในการขี่มอไซค์ เส้นทางสายนี้เป็นทางขึ้นเขาและโค้งพับหักศอกค่อนข้างมาก ถือว่าเป็นเส้นทางสวยพร้อมวัดใจผู้ขับขี่ได้ตลอดทาง ดังนั้นสติๆๆๆ ต้องมีตลอดนะครับ

 

 

จุดเช็คอินที่แรกที่ทุกคนไม่ควรพลาดคือ จุดชมวิวแม่ตะละ สถานที่นี้เป็นจุดชมวิวที่สามารถเห็นเขาได้เป็นลูกๆ และอากาศจะค่อนข้างชื้นตลอดทั้งปี วิวที่นี่สวยมากครับ

 

 

ตลอดสองข้างทางมีต้นไม้ที่เขียวขจี เส้นทางที่เราเดินทางมีฝนปรอยๆบ้างเป็นบางช่วง แต่ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเดินทางเลย จุดที่สองที่เราจอดคือวัดจันทร์ เป็นสถานที่เราแวะกินข้าวและเติมน้ำมันเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายแรกของวันนี้ นั่นก็คือ ภูริปาย เพื่อพักที่นี่ในคืนแรก

 

 

ก่อนเข้าไปเช็คอินที่โรงแรม พวกเราก็ได้แวะไปสะพานประวัติศาสตร์ท่าปายก่อน เพื่อเก็บภาพความทรงจำในการเดินทาง ภูริปายมีวิวที่สวยงามเป็นอย่างมากเลยครับ มองออกไปเห็นวิวภูเขาทั้งลูกเลย อากาศก็ดีอีกด้วย เรียกได้ว่าใครมานอนที่นี่คุ้มค่ามากครับ กลางคืนยังมีก่อกองไฟ เพื่อให้เข้ากับการดื่มด่ำบรรยากาศพร้อมสังสรรค์อีกด้วยครับ

 

 

ตื่นเช้ามาเราก็พาเจ้า Yamaha NMAX 155  ตะลุยกันต่อโดยจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่ โรงแรม B2 แม่ฮ่องสอน

 

 

 ระหว่างทางสถานที่ไม่ควรพลาดนั่นก็คือ บ้านจ่าโบ่ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน   เป็นชุมชนชาวลาหู่เล็กๆ ในหุบเขา แต่วิวโคตรจะดี ตลอด 2ข้างทางที่ขี่มา เราจะเพลินกับวิวสวยๆ ภูเขาเต็มหน้าเมฆหมอกเต็มท้องฟ้า เส้นนี้เป็นทางโค้งเนินเขายาวๆและชัน  จะมาเสียวๆหน่อย ช่วงทางก่อนจะเข้าหมู่บ้าน  ซึ่ง  Yamaha NMAX 155 CC.  คันนี้พาผมขึ้นมาได้สบายๆๆ เลยครับ ด้วยกำลังของรถสามารถไต่เนินชันๆ ได้หายห่วง  อาจจะไม่ได้เร็วมากนัก  แต่มันก็ส่งกำลังมาต่อเนื่องเลยครับ ถือว่าไม่มีสะดุด  เมื่อถึงจุดหมายบ้านจ่าโบ่  ไฮไลท์ที่นี่คือร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ซึ่งรสชาติบอกเลยว่าใช้ได้ครับ  กับก๋วยเตี๋ยวราคาหลักสิบแต่ชมวิวหลักล้าน คุ้มค่ามากๆ เพราะแค่ได้สูดอากาศดีๆเต็มปอด มันก็ทำให้เราได้ฟินน์ไปอีกแบบ อากาศเย็นๆไม่ถึงกับหนาว หลังจากกินข้าว จิบกาแฟชมทิวทัศน์

 

 

เสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อ โดยไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่เรากำหนดไว้ หลังจากเดินทางถึงโรงแรมพวกเราก็แยกย้ายกันทำกิจธุระส่วนตัวของใครของมัน

            วันรุ่งขึ้นเราก็ออกเดินทางกันต่อโดยจุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่นาขั้นบันได ป่าบงเปียง แล้วเราจะนอนพักที่นั่น เหตุผลที่ผมบอกให้เตรียมพาวเวอร์แบงค์มาเยอะๆเพราะว่า ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเลย มีแต่ห้องน้ำและห้องนอนให้และเครื่องนอน (ถ้าอยากได้ฟิวส์จริงๆควรเอาเต็นท์มากางด้วย)

 

 

ระหว่างทางที่เราเดินทางมีถนนทุกสภาพไม่ว่าจะเป็นถนนแห้ง ฝนตก หรือทางดิน บอกเลยครับว่ามันส์มากๆๆๆ สายลุยไม่ควรพลาดเลยครับ รถออโต้ก็พามาได้ ขอแค่ใจพร้อม รถพร้อมก็ลุยเลยครับ การเดินทางอาจจะมีล้ามีเหนื่อยบ้าง พอได้เห็นวิวสวยๆที่จุดหมายปลายทางของเราหลายเหนื่อยเลยครับ และผมก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพสวยๆมาฝากครับ

 

 

ไม่ต้องไปไกลถึงนาที่ซาปา... ไปนาขั้นบันไดที่ป่าบงเปียงประเทศไทย  ก็ได้สวยอลังการไม่แพ้กัน แถมราคาก็ดีงาม ที่พักรวมอาหาร 2 มื้อ แค่คืนละ 500 บาทต่อคน พกเงินมานิดหน่อยก็ได้พบกับวิวว้าว ๆ ราคาติดดิน บรรยากาศติดดาว โอ๊ยยยย ฟิน  “ป่าบงเปียง” บง แปลว่า ไผ่ เปียง แปลว่า ที่ราบแต่ก่อนพื้นที่นี้เป็นป่าไผ่ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพื้นที่ทำนาและกลายเป็นนาขั้นบันไดที่สวยมาก ๆ ในประเทศไทย เหตุนี้เอง ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ครั้งหนึ่งในชีวิตน่ามาทิ้งตัว พัดลม แอร์ไม่ต้องถามหา  ถามจริตตัวเองก่อนมาให้ดี ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมาได้ไหม ห้องน้ำรวม สะอาด ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้นะครับ เตรียมมาเอง  และควรไปถึงจุดนัดก่อน 4 โมงเย็น จะได้มีเวลาฟินนาน ๆ ช่วงที่ควรมาพักผ่อน หรือถ่ายรูปช่วงดำนา กรกฎาคม-สิงหาคม ช่วงนี้คือช่วงที่เริ่มปลูกข้าว มีต้นกล้าปัก มีน้ำขัง จะได้ฟิลพระอาทิตย์สะท้อนน้ำตามขั้นบันได ช่วงนาเขียว ปลายสิงหาคม-ปลายตุลาคม นาเขียว ๆ ข้าวอัดแน่นเต็มพื้นที่  ช่วงนาสีทอง ปลายเดือนตุลาคม-ต้นเดือนพฤศจิกายน นาข้าวเปลี่ยนเป็นสีทองเหลืองอร่าม ฤดูกาลเก็บเกี่ยวแต่ละปีอาจแตกต่างกัน เช็คข้อมูลก่อนเดินทางชัวร์สุดครับ

 

 

ป่าบงเปียงเป็นสถานที่ๆใครอยากหลีกหนี้ความวุ่นวายในเมือง หรือมาพักผ่อนแบบเงียบๆ ที่นี่เหมาะมากที่จะเป็นสถานที่ชาร์จแบตของเรา (สำหรับใครที่จะอาบน้ำต้องบอกเลยว่าอาบน้ำตั้งแต่ 5-6 โมงเย็น ถ้าดึกกว่านี้มีหนาวแน่ๆครับ น้ำเย็นมาก ใครไม่เชื่อลองได้นะ) ตอนเช้ามาไม่ต้องตื่นเช้ามาก  เพราะไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น  แต่ถ้าตื่นเช้ามาจิบกาแฟเราจะเจอกับความฟินน์สุดๆ เนื่องด้วยบรรยากาศที่เราได้รับ กับการนั่งดูวิวยามเช้าจิบกาแฟไปด้วย(สำหรับคอกาแฟ) มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากครับ

 

 

ช่วงสายๆถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกลับกันแล้ว  ซึ่งเส้นทางขากลับเราใช้เส้นทางดอยอินทนนท์ ซึ่งขากลับออกมาบอกเลยครับว่าเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตรที่โครตมันส์เลยครับ เพราะเส้นทางขากลับมันเป็นทางโคลนและรถที่ไปได้เป็นเส้นทางสำหรับรถ D4D และมอไซค์โดยเฉพาะ Yamaha Nmax 155 CC.  ที่ผมขี่มาต้องบอกเลยครับว่าประหยัดมาก  จากระยะทางที่เราขี่มาก็ไกลพอสมควร แต่ตอนเติมน้ำมันเติมเพิ่มอีกแค่ 2 ลิตรเองครับ เครื่องยนต์บลูคอร์ (BLUE CORE) เนี่ยแน่นอนจริงๆ แถมถนนค่อนข้างขรุขระ แต่ Yamaha Nmax 155 คันนี้เอาอยู่เลยครับ บวกกับเบรกที่เป็น ABS ทำให้มั่นใจมากในการใช้เบรก อ่อ !!! แล้วอีกอย่างการใช้คันเร่งในพื้นที่ ที่เป็นดินโคลน ไม่ควรใช้คันเร่งเยอะ ต้องค่อยๆบิดทีละนิดทีละหน่อย ถ้าบิดเยอะรับรองล้อหลังไปก่อนล้อหน้าแน่นอนเลย อาจจะทำให้นอนกองอยู่ตรงนั้นก็เป็นได้  ทางนี้เรียกเสียงฮาเสียงหัวเราะของผู้ร่วมทริปได้เป็นอย่างมากครับ ขากลับออกมาบอกได้เลยว่าทุกคนออกมาในแบบเลอะเทอะกันเลยทีเดียว

 

 

หลังจากออกมาได้เราก็เดินทางต่อ โดยไปรวมตัวกันที่ร้านกาแฟที่แม่กลางหลวงดอยอินทนนท์ และพักเหนื่อยกันพอสมควร พอหายเหนื่อยแล้วพวกเราก็ได้เดินทางกลับกันครับ

 

 

 ในการเดินทางครั้งนี้ผมได้ทั้งมิตรภาพในการเดินทาง ได้เพื่อนใหม่ๆ ได้เจอสถานที่ใหม่ๆสวยๆ ทำให้ผมประทับใจเป็นอย่างมากๆ และผมคิดว่าผมต้องกลับไปอีกรอบอย่างแน่นอน......แค่คิดจะออกทริป  ความสุขก็พร้อมรอเราอยู่ข้างหน้าเสมอครับ

สุดท้ายผมต้องขอขอบคุณ บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ที่สนับสนุนรถดีๆๆ อย่าง Yamaha NMAX 155  ในการเดินทางตลอดทั้งทริป ขอบคุณมิตรภาพของผู้ร่วมเดินทางทุกคน ขอบคุณธรรมชาติสวยๆ ที่รอเราไปสัมผัสเพื่อเสพบรรยากาศดีๆๆ  เก็บภาพความทรงจำและความประทับใจให้เราได้ชาร์ตแบตร่างกาย  เพราะการเดินทางไม่มีที่สิ้นสุดครับ