ของดีจากค่ายคนบ้า Suzuki V-Strom 800 DE แรงบิดดีที่สุดในคลาส

 

ของดีจากค่ายคนบ้า Suzuki V-Strom 800 DE แรงบิดดีที่สุดในคลาส

V-Strom 1000 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2002 ซึ่งตัวรถได้สร้างมาตรฐานที่ยอดเยี่ยมในการขับขี่แนว Adventure Touring อย่างต่อเนื่อง และได้เปิดตัว V-Strom 650 ในปี 2004 และล่าสุดในปี 2023 ที่ผ่านมานี้ทาง Suzuki ก็ได้เปิดตัว V-Strom 800 DE ที่ตัวรถได้เปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้แบบ Parallel Twin 2 สูบเรียง พิกัด 776cc แบบ DOHC 4 วาล์ว/1สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ มีแรงม้าอยู่ที่ 83.1 Hp ที่รอบ 8,500 รอบ/นาที แรงบิดที่ 78 นิวตันเมตร ที่ 6,800 รอบ/นาที ขนาดลูกสูบ และช่วงชักอยู่ที่ 84x70 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ผ่านมาตรฐาน Euro5 เรียบร้อยแล้ว

 

 

ถ้าถามต่ออีกว่าใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียงแล้วทำไมยังใช้ชื่อ V-Twin ตัวเครื่องยนต์ใช้บัลลานเซอร์แบบใหม่ ที่มีชื่อว่า Suzuki Cross Banlancer ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น ตัวรถยังใช้เพลาข้อเหวี่ยงแบบ 270 องศา แบบเครื่องยนต์ V-Twin อีกด้วย ตัวลูกสูบของเครื่องยนต์ใช้เทคโนโลยที่มีชื่อว่า FEM(Finite Element Method) ออกแบบจากวิศวกรจาก Suzuki เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งใหกับลูกสูบ อีกทั้งยังลดน้ำหนัก แม้ว่ากระบอกสูบจะมีขนาด 84 มิลลิเมตร การขึ้นรูปทรงกรวยจะถ่ายเทน้ำหนัก ลดแรงเสียดทานที่ส่งไปยังคราวน์ จึงช่วยเพิ่มความทนทานอีกด้วย ตัวกระบอกสูบยังมีการเคลือบสารอะลูมิเนียม ที่เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการแข่งที่มีชื่อว่า Suzuki Composite Electrochemical Material (SCEM) ที่สามารถระบายความร้อน ลดแรงเสียดทาน ทนทานต่อการสึกหลอได้ดียิ่งขึ้น 

 

 

คันเร่งของตัวรถเป็นคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire Electronic Throttle Bodies

ลิ้นปีกผีเสื้อทั้งสองสูบถูกควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ขนาด 42 มิลลิเมตร ที่เชื่อมโยงกัน เซ็นเซอร์จะทำงานร่วมกับคันเร่ง และได้รับการปรับให้เหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพที่สมมุลมากที่สุด ทั้งการใช้งานในท้องถนนทั่วไปในชีวิตประจำวัน และการท่องเที่ยวผจญภัย

Air Cleaner Box กรองอากาศ 6 ลิตร ออกแบบท่อไอดีที่ได้รับการปรับปรุงโดยใช้การวิเคราะห์แบบ CAE เพื่อให้มีกำลังในรอบต่ำ และสอดคล้องกับแชสซีที่บาง และกระทัดรัด

ตัวเครื่องยนต์ยังมีระบบ Suzuki Clutch Assist System (SCAS) ช่วยลดการกระชากของล้อหลัง ทำให้การชะลอความเร็วเป็นไรอย่างนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น

ตัวรถมีโหมดการขับขี่ด้วยกัน 3 โหมด ก็คือ A(Active), B(Basic),C(Comfort) ในส่วนของระบบ Traction Control สามารถปรับได้ 3 ระดับ และยังมีโหมด G(Gravel Mode) มาให้อีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้นทาง Suzuki ยังติดตั้งระบบ Bi-Direction Quick Shift System มาให้ด้วย หรือเรียกง่ายๆระบบ Quick Shifter นั่นเองซึ่งแน่นอนว่าระบบ Quick Shifter ให้มาทั้ง Up-Down เลย

ในส่วนของระบบ ABS ยังสามารถตั้งค่าได้ 3 แบบก็คือ Mode 1, Mode 2 และปิดการทำงานของ ABS ที่ล้อหลัง 

 

 

โช้กหน้าของตัวรถมาในแบบ Up-Side Down จาก Showa ที่สามารถปรับได้ทั้งค่า Compression และ Rebound

ในส่วนของโช้กหลังก็ใช้ของ Showa เช่นกัน ซึ่งสามารถปรับค่า Rebound และค่า Preload ของสปริงได้

ระยะยุบของโช้กหน้า และโช้กหลังมีระยะยุบอยู่ที่ 220 มิลลิเมตร

เบรกหน้าเป็นดิกส์เบรกแบบดิกส์คู่มีขนาดจานดิกส์อยู่ที่ 310 มิลลิเมตร เบรกหลังแบบดิกส์เดี่ยวที่มีขนาดจานดิกส์อยู่ที่ 260 มิลลิเมตร ระบบเบรกใช้ของ Nissin

ล้อหน้าใช้ล้อขนาด 21 นิ้ว ยางหน้าใช้จนาด 90/90 ยางหลังใช้ขนาด 17 นิ้ว มีขนาดยางที่ 150/70 ตัวของยางมาในรูปแบบของ Semi-Block ที่สามารถไปได้ทั้งทางดำ และทางดิน

ถังน้ำมันมีความจุอยู่ที่ 20 ลิตร 

 

 

แฮนด์เป็นแฮนด์บาร์ทำจากอลูมิเนียม แข็งแรง ยืดหยุ่น ช่วยดูดซับแรงกระแทก และยังทำให้ตัวรถควบคุมได้ง่ายอีกด้วย

หน้าจอของตัวรถเป็นหน้าจอแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว ที่บอกข้อมูลครบถ้วน และหน้าจอยังสามารถแจ้งเตือนแบบป็อปอัพขนาดใหญ่

ใกล้กับหน้าจอซ้ายมือยังมีพอร์ตชาร์ USB มาให้ด้วย

 

 

เฟรมของตัวรถเป็นเฟรมแบบ Rugged Steel Frame เปลท้ายยังสามารถถอดได้ด้วย

มิติของตัวรถอยู่ที่ กว้าง 975xยาว 2,345xสูง 1,310 มิลลิเมตร ฐานล้อมีความยาวที่ 1,570 มิลลิเมตร ความสูงจากเครื่องยนต์ถึงพื้นอยู่ที่ 220 มิลลิเมตร ความสูงจากเบาะถึงพื้นอยู่ที่ 855 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถอยู่ที่  230 กิโลกรัม

 

 

ฟิลลิ่งการขับขี่

ท่านั่ง

ท่านั่งเป็นท่านั่งสบายตามสไตล์ Adventure แฮนด์ของตัวรถค่อนข้างกว้าง ความสูงจากเบาะถึงพื้น 855 มิลลิเมตร ทำให้ตัวผมเองวางเท้าได้ไม่เต็มเท่าไหร่ (ผู้ขับขี่สูง 177 เซ็นติเมตร) แต่โดยรวมแล้วท่านั่งถือว่าทำได้ดีเลย น้ำหนักผู้ขับขี่ลงตรงกึ่งกลางรถพอดี ทำให้การบาล๊านซ์น้ำหนักรถดี จึงทำให้ควบคุมได้ง่าย หากยืนขี่ก็สามารถควบคุมรถได้ง่ายเหมือนกัน 

 

 

เครื่องยนต์

ต้องบอกว่าทอร์กของตัวรถที่ให้มาเรียกได้ว่าเยอะสุดในรุ่นเลยก้ว่าได้ ด้วยแรงบิดที่มีอยู่ 78 นิวตันเมตร หากปิด Traction Control แล้วกระแทกคันเร่งที่เกียร์ 1 หน้ารถลอยเลยทีเดียว แต่ถ้าหากเปิดโหมด G หน้ารถก็จะไม่ลอย เพราะยังติดการทำงานของ Traction Control นิดหน่อยนั่นเอง

โดยรวมแล้วเครื่องยนต์มีพละกำลังที่แจ่มมาก ถ้าหากใครอยากขี่เล่นที่พื้นผิวดินเป็นพื้นแข็งหินลอย แนะนำให้เปิดโหมด G ไว้เลย รับรองสนุดมาก สามารถสไลต์ได้โดยไม่ต้องกลัวล้นเลย 

 

 

ช่วงล่าง

ต้องบอกว่าช่วงล่างที่เซ็ทจากโรงงานมาให้มาได้พอดีเลย สำหรับผมมีรู้สึกว่านิ่มไปหน่อย แต่ก็สามารถปรับให้เข้ากับผู้ขับขี่ได้ ช่วงล่างเดิมๆที่เซ็ทจากโรงงานทำได้ดีเลย ซับแรงกระแทกได้ดี โช้กหลังสามารถปรับพรีโหลดได้เลยโดยการหมุนมือ แต่ถ้าหากจะปรับรีบาวน์ต้องใช้ไขควงแบน โช้กหน้าก็เช่นกัน ต้องใช้ไขควงปรับ 

 

 

ระบบเบรก

ต้องบอกว่าเบรกที่ให้มาเป็นของ Nissin ให้มาใช้งานได้ดี ตอบสนองได้ไว ABS ทำงานได้ไวเลยหากเบรกกระทันหันในทางดำ 

 

 

การควบคุม

ด้วยน้ำหนักรถที่ 230 กิโลกรัม อาจจะมองว่ามีน้ำหยักเยอะ แต่พอขี่จริงๆแล้วต้องบอกว่าควบคุมได้ดีมากๆ รู้สึกมั่นใจในโค้งได้เลย

สรุปแล้ว

Suzuki V-Strom 800 DE เป็นรถที่มีแรงบิดมากสุดในรุ่นเลยก้ว่าได้ ตัวเครื่องยนต์บิดสนุกเป็นอย่างมาก โหมดการขับขี่มีให้เลือก 3 โหมด และตัวรถยังถือว่าเป็นมิตรกับผู้ขับขี่เป็นอย่างมาก คันเร่งสมูท ระบบเบรกมั่นใจได้เลยในทางดำ น้ำหนักลงตรงกลางรถทำให้ควบคุมได้ง่าย

ข้อสังเกตุ

ระบบ ABS ที่ปิดได้แต่เบรกหลัง หากไปขี่ทางดินแล้วเข้าลึกเกินไปอาจจะเบรกไม่อยู่ได้ ต้องเผื่อระยะเบรกให้พอดี

 

 

Suzuki V-Strom 800 DE มีให้เลือกอยู่ที่ 3 สีด้วยกัน ได้แก่สี Champion Yellow, Glass Mat Mechanical Gray, Glass Sparkle Black ตัวรถมีราคาอยู่ที่ 479,000 บาท 

หากใครสนใจสามารถเข้าไปดูตัวจริงได้ที่ศูนย์ Suzuki ใกล้บ้านได้เลยครับ 

 

 

ติดตามข่าวสารวงการมอไซค์ : www.mocyc.com
Page Facebook : www.facebook.com/MocycThailand
Youtube : www.youtube.com/channel/UC2zealFH63iys1sWHW6xFOg?view_as=subscriber
IG : instagram.com/mocycthailand