รถมอไซค์ที่คาดว่าจะเปิดตัวใน Tokyo Motor Show 2017 ในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ |

     เรียกได้ว่าใกล้จะถึงงานแล้วสำหรับงาน Tokyo Motor Show เป็นงานที่เหล่าผู้ผลิตยานยนต์ในญี่ปุ่นนั้นเปิดตัวรถประเภทต่างๆ วันนี้ทีมงาน Mocyc.com จะพามาดูรถมอไซค์ที่คาดว่าจะมาเปิดตัวในงานนี้ ตามมาดูเลยดีกว่าว่าจะตื่นเต้นเราใจมากแค่ไหน และที่สำคัญทางญี่ปุ่นนั้นจะนำเทคโนโลยีอะไรมาโชว์เราในงานนั้นต้องตามมาลุ้นกันครับ

เรามาของทางค่ายปีก HONDA ที่มาพร้อมกับการครบรอบ70ปี ของฮอนด้า

    โมเดลแรกที่เราจะมานำเสนอก็คือ Honda Super Club ซึ่งมีถึง 2 รุ่นเลยครับ ประกอบด้วยรุ่น 110 cc และ50 cc โดยใช้การออกแบบ Minimalism ที่ดูสวยงามลงตัว คงความคลาสสิกตามแนวทางของรถ Super Cub ด้วยไฟหน้ากลม ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเดียวกันกับที่อยู่ใน Honda Cb150R ที่เปิดตัวในบ้านเราและเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ โดดเด่นด้วยเบาะนั่งแบบสั้นหรือเบาะนั่งเดียวทำให้ช่วงท้ายนั้นสามารถบรรทุกของหรือเสริมกล่องสัมภาระเข้าไปได้ และความคลาสสิกอีกหนึ่งอย่างที่เราเห็นกันก็คือระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ที่มีระบบ Kick Start

    อีกหนึ่งโมเดลที่มีความพิเศษก็คือ Honda Cross Cub  โดดเด่นด้วยกรออกแบบ Bodywork ที่เน้นความแคบของตัวรถ โดยไม่มีส่วนของบังโคลนหน้าเหมือนกับ Super Cub ก่อนหน้านี้  และอีกหนึ่งจุดเด่นของเจ้า Cross Cub คันนี้ก็คือระบบกันสะเทือนด้านหน้าที่เป็นสีดำ และจานดีสก์เบรกขนาดเล็กที่อยู่ในส่วนของการ์ดจุดยึดล้อ และการ์ดไฟหน้าที่เสริมให้เจ้า Super Cross คันนี้น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังจะมีการเปิดตัวรถใหม่อย่าง Super Cub C125 2018 และ Monkye 125 2018 กันอีกด้วย

 

  ต่อมาอีกหนึ่งโมเดลที่ถือว่าน่าสนใจมาก กับ New CB400SF 2018 (Super 4) ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างแรกเลยก็คือในเรื่องของไฟหน้าแบบ LED นั้นจะเป็น LED แบบ 4 x 4 EYES (4 ดวงแบบแยก 2 ดวงด้านบนและ 2 ดวงด้านล่าง) ซึ่งจะเป็นการแยกตำแหน่งไฟสูงและไฟต่ำนั่นเอง โดยแน่นอนว่าระบบไฟแบบนี้นั้นจะถนอมอายุการใช้งานของไฟ LED ได้มากกว่าแบบปกติ รวมไปถึงสร้างรูปแบบการดีไซน์ให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย โดยพื้นฐานของสเปคเครื่องยนต์แล้ว คาดว่าจะใช้เครื่องยนต์ขนาด 399.00 cc 4 สูบเรียง 4 จังหวะ ให้แรงม้าอยู่ที่ 52 ตัว ที่ 10,500 รอบ ทอร์ค 38 Nm ที่ 9,500 รอบ 

    อีกทั้งมีข่าวมาว่าทางค่ายจะยังคงมีฟีเจอร์ใหม่ๆ บางอย่างติดตั้งเพิ่มเติมเข้ามาจากโมเดลก่อนหน้านี้ ซึ่งถือว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ก็ต้องย้อนกลับไปถึงปี 2014 กันเลยทีเดียว หลังจากนั้นก็ยืนระยะด้วยสเปกแบบเดิมมาทุกปี นับว่าเป็นมิติใหม่และจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของรถ Scooter ตระกูล PCX ที่เตรียมจะเปิดตัวรถในเวอร์ชั่นของการใช้พลังงานไฟฟ้าเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนอย่างระบบ Hybrid ซึ่งเจ้า PCX Hybrid นั้นจะมีจุดเด่นที่ระบบ Hybrid โดยจะมีการติดตั้งแบตเตอร์รี่ไฮบริดสำหรับการขับเคลื่อนโดยเฉพาะมาให้ และแยกจากแบตเตอร์รี่ไฟฟ้าปกติ (เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์) แต่หลักการทำงานแบบละเอียดยังไม่ได้รับการเปิดเผยข้อมูลออกมา ซึ่งคาดว่าพวกฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่อยู่ใน PCX โมเดลล่าสุดจะยังคงติดตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นระบบ Idling Stop, Keyless, ไฟ LED รอบคัน ฯลฯ จะมาอย่างครบครัน

    คันต่อมานั้นเป็นหมัดเด็ดจากทางค่ายการโชว์ความล้ำกันบ้าง กับ Honda Riding Assist-e รถมอเตอร์ไซค์ที่สามารถทรงตัวได้เอง แม้ว่าในการเปิดตัวครั้งนี้ก็จะยังคงเป็นรถคอนเซ็ปท์อยู่ แต่ว่ามันน่าจะมีความใกล้เคียงกับการผลิตจริงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะแนวคิดของทาง Honda นั้นชัดเจนว่าเจ้า Riding Assist-e คันนี้จะเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และมีความสามารถ self-balancing ที่จะทรงตัวได้เองในย่านความเร็วต่ำ หรือแม้กระทั่งจอดอยู่นิ่งๆ โดยไม่ต้องลงขาตั้ง หรือพูดง่ายๆ ว่ารถสามารถยืนได้เอง และเคลื่อนที่ได้เอง (แต่แน่นอนว่าจะต้องเปิดสวิทช์การทำงานไว้ด้วย) ฟีเจอร์ต่างๆ ที่ติดตั้งมาให้กับรถคันนี้นอกเหนือไปจากเรื่องของความสามารถในการทรงตัวแล้ว ที่โดดเด่นเลยก็จะเป็นในเรื่องของแชสซีที่ยังมีความเป็นรถมอเตอร์ไซค์จริงๆ อย่างเต็มรูปแบบ รวมไปถึงในส่วนของเฟรมรถด้วย, สวิงอาร์มหลังเป็นแบบโปร์อาร์ม (อาร์มเดี่ยว) ยางเป็นของ Bridgestone Battlax sport-touring, ระบบเบรก Nissin, ระบบกันสะเทือนแบบลิงค์แอสซิส (เชื่อมต่อกัน) ระหว่างด้านหน้าและด้านหลัง, คันเร่งเป็นแบบไฟฟ้า, ไฟเป็นแบบ LED รอบคัน ส่วนท่านั่งในการขับขี่นั้นมีความเป็น Bobber อยู่ในตัวจากลักษณะของแฮนด์รถและความยาวเบาะรถ

    ต่อมากันที่อีก 2 รุ่นใหญ่สไตล์แกรนด์ทัวร์ริ่งจากทางค่ายอย่าง GL 1800 และ F6B 2018 หรือที่รู้จักกันในนามของตระกูล GOLDWING นั่นเอง โดยทั้ง 2 คันนี้ยังคงใช้ขุมกำลังขนาด 1832 ซีซี หกลูกสูบแบบ Flat-Six โดยได้ทำการปรับเปลี่ยนรูปแบบของ Massive Block ใหม่ ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซมลพิษ และเพิ่มอัตราเร่งและพละกำลังสูงสุดได้ รวมไปถึงการออกแบบใหม่ของชุดแฟร์ริ่งที่ให้อารมณ์แบบสปอร์ตเต็มพิกัด พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวทางของรถมอเตอร์ไซค์แกรนด์ทัวร์ริ่ง ที่หรูหราและสะดวกสบาย รวมไปถึงระบบช่วงล่างที่ได้รับการออกแบบใหม่ ในรูปแบบของ Hossack-styled design ไม่ได้มาในรูปแบบของท่อกลมๆ อีกต่อไป โดยรูปแบบของระบบโช้คอัพหน้าแบบนี้เราจะได้พบเห็นกันอยู่บ่อยๆในรถมอเตอร์ไซค์ ตระกูล K-Serie ของค่าย BMW นั่นเอง

    มาถึงไฮไลท์ที่ทั่วโลกต่างก็จับตามองของทางค่ายปีก นั่นก็คือ All New Honda CB1000R Hornet โดยโมเดลใหม่จากทางฮอนด้าโมเดลนี้นั้น จะมาในรูปทรงที่มีกลิ่นอายของความเป็นเรโทรผสมผสานด้วย อย่างเช่นในเรื่องของไฟหน้า ในขณะที่คู่แข่งเองนั้นพยายามที่จะดีไซน์ให้มันดูล้ำยุคและดุดัน แต่ว่าทาง Honda เองนั้นกลับเลือกเดินในแนวทางที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าพวกออพชั่นต่างๆ นั้นยังคงจะจัดมาอย่างเต็มที่ ซึ่งหากเราจะนับอายุอานามของเจ้าโมเดลนี้ในโฉมเดิมนั้น ก็จะต้องบอกว่าอายุมันเกิน 10 ปีเข้าไปเรียบร้อยแล้ว โดย All New CB1000R คันนี้นั้น จะใช้เครื่องยนต์และระบบต่างๆ ที่มีพื้นฐานเดียวกันกับ All New CBR1000RR Fireblade ซึ่งมีเครื่องยนต์ขนาด 1,000cc แบบ 4 สูบเรียง ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั่นเอง ดังนั้นแล้วนอกเหนือไปจากเครื่องยนต์เดียวกัน (ที่อาจจะมีการปรับลดแรงม้าลงบ้าง แต่อัดในส่วนของแรงบิดหรือว่าทอร์คเพิ่มเข้าไป) ก็จะมีพวกออพชั่นต่างๆ ติดรถมาให้ด้วยไม่ว่าจะเป็นคันเร่งไฟฟ้า fly-by-wire throttle, ตัวควบคุมแรงบิด torque control, ตัวป้องกันล้อยก wheelie control, ตัวป้องกันล้อหมุนฟรี traction control และตัวเลือกในการเปิด-ปิด quickshifter หรือ auto-blipper ส่วนสวิงอาร์มด้านท้ายนั้นจะเป็นแบบโปร์อาร์ม (อาร์มเดี่ยว) และใช้ระบบไฟแบบ LED รอบคันอย่างแน่นอน ในขณะที่การออกแบบถังน้ำมันนั้นจะมีความแคบลงกว่าเดิม เพื่อให้มิตินั้นกระชับมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้แน่นอนว่ามันจะต้องผ่านมาตรฐาน Euro 4 อันเข้มงวดให้ได้ด้วย

ต่อมาเรามาดูทางค่ายซ่อมเสียง Yamaha กันบ้างครับ

    ทางค่าย Yamaha ประเดิมด้วยการเตรียมเปิดตัวรถ New Yamaha MWT-9 ซุปเปอร์สามล้อคลาสยักษ์ใหญ่ โดยจะต้องบอกว่าเจ้า MWT-9 นั้นเป็นรถในตระกูล MT ของทางค่าย (เช่นเดียวกันกับ MT-10, 09, 07 และ 03) แต่ว่าโดดเด่นด้วยการใช้ล้อหน้าคู่ โดยที่แกนของล้อนั้นสามารถเอียงเวลาเราเลี้ยวรถได้ด้วย ก็ต้องถือว่าเป็นบิ๊กไบค์คันแรกของทางค่ายที่ใช้คอนเซ็ปท์นี้ในการผลิต และมีเครื่องยนต์เดียวกันกับ MT-09 เพื่อนร่วมรุ่นในความจุอยู่ที่ 847 ซีซี 3 สูบ แบบ Crossplane Crankshaft ซึ่งจุดเด่นก็คือจะเป็นการรวมเอาข้อดีขอเครื่องยนต์แบบ 2 สูบและ 4 สูบไว้ด้วยกัน กล่าวคือมันมีอัตราเร่งในย่านความเร็วต้นที่ดีกว่าเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ และความเร็วปลายที่ไหลลื่นกว่าเครื่องยนต์แบบ 2 สูบ ด้วยเครื่องยนต์ที่มีลักษณะของการจุดระเบิดที่ไม่เหมือนเครื่องยนต์ทั่วไป โดยจะจุดระเบิดแบบไม่สม่ำเสมอกันตลอด ส่งผลให้เครื่องยนต์มีอัตราเร่งมากขึ้น บิดเป็นมา ขี่สนุก เสียงเพราะๆ แบบเป็นเอกลักษณ์นั่นเอง ซึ่งนับว่าเป็นปรัชญาในการออกแบบเครื่องยนต์อันยอดเยี่ยม

   มาต่อด้วย Motobot ver. 2 หุ่นยนต์นักบิดสุดอัจฉริยะ ที่จะต้องถือว่าเป็นนวัตกรรมในโลกยานยนต์อย่างแท้จริงจากทางค่าย ที่จะจำลองลักษณะการขับขี่จากมนุษย์จริงๆ เลยไม่วาจะเป็นการบิดคันเร่ง, บีบคลัทช์, เข้าเกียร์ และกดเบรก การขับขี่จริงๆ รวมไปถึงการเข้าโค้ง และการตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ ได้ด้วย จากที่ก่อนหน้านี้เวอร์ชั่นแรกนั้นเปิดตัวไปเมื่อปี 2015 แต่คราวนี้มาในเวอร์ชั่นสองเชื่อว่าจะต้องมีอะไรให้ฮือฮากันมากขึ้นอย่างแน่นอน

    อีกหนึ่งโมเดลปริศนาที่ยังคงเป็นความลับกันอยู่ ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่าจะเป็นอะไรกันแน่ ถือว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ทางค่ายนั้นเก็บข้อมูลกันไว้ได้เป็นอย่างดี อันนี้จะต้องไปลุ้นกันในวันงานจริงกันอีกครั้ง ว่ามันคืออะไรกันแน่ กับการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งานนี้

ต่อมาเรามาดูค่ายคนบ้า Suzaki กันต่อครับ

    ทาง Suzuki นั้นนำทัพโดยรถ New SV650X รถทรงคาเฟ่เรซเซอร์ที่มีพื้นฐานมาจากรุ่น SV650 โดยรูปแบบในการดีไซร์นั้นเน้นความคลาสสิกผสมกับความโมเดิร์นให้ลงตัว ภายใต้แนวคิด ‘Ne0-Retro’ (ยุคใหม่ผสมย้อนยุค) ซึ่งการออกแบบของ SV650X นั้นทางค่ายได้ให้รายละเอียดไว้ว่า มันเป็นการนำเอาความยอดเยี่ยมของสไตล์รถมอเตอร์ไซค์ในยุค 70 มาพัฒนาต่อยอดให้เป็นโมเดลนี้ ซึ่งเรามีการเติมแฟร์ริ่งบางส่วนเข้าไปในบริเวณด้านหน้ารถ, ครอบไฟหน้า, แฮนด์บาร์แบบคลิปออน ที่โดยรวมแล้วจะให้อารมณ์ความรู้สึกถึงกลิ่นอายในยุคก่อน แต่ในเรื่องของสเปคและฟีเจอร์ต่างๆ นั้นยังคงใช้ความทันสมัยของยุคปัจจุบันเข้ามาอย่างเต็มตัว โดยใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ขนาด 645 ซีซี 2 ลูกสูบแบบ V-twin 90 องศา

    มาต่อกันที่ Suzuki SWISH เป็นรถที่มาจากตระกูล Address 125 ซึ่งมาในแนวพรีเมี่ยมสกู๊ตเตอร์ที่ใช้ระบบไฟแบบ LED รอบคัน ด้านหลังเป็นโช้คอัพคู่ หน้าจอแสดงผลเป็นแบบดิจิตอลเต็มรูปแบบ และมีช่องเสียบ USB ด้วย เจ้า SWISH คันนี้จะเป็นคู่แข่งคันสำคัญของ PCX 125 และ NMAX 125 นั่นเอง

สุดท้ายค่ายยักษ์เขียว Kawasaki เตรียมเปิดตัว 2 โมเดลใหม่ 

    อีกหนึ่งค่ายที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษในปีนี้กับ Kawasaki ที่ลือกันอย่างหนักว่าจะเปิดตัวรถสปอร์ตแฟร์ริ่งในระดับ Entry Class ตระกูลดังอย่าง All New Ninja 250 (หรือ 300 สำหรับบ้านเรา) จุดที่น่าสนใจของ Ninja 400 และ 250/300 คันใหม่นั้นเท่าที่เราทราบมาก็คือโช้คอัพหน้านั้นจะเป็นแบบหัวกลับ Upside Down, ระบบไฟแบบ LED รอบคัน, Slipper Clutch เพื่อมาต่อกรกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง CBR250RR โดยตรง แต่ในส่วนอื่นๆ นั้นจะพบว่ายางรถจะเป็นแบบยางเรเดียล, สวิงอาร์มเป็นดีไซน์แบบยาว ตัวเฟรมนั้นเป็นเฟรมใหม่ ที่คาดว่าจะมีน้ำหนักค่อนข้างเบา (ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าจะเบากว่าคู่แข่งอย่าง CBR250RR ด้วยซ้ำ) แต่อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องของจำนวนสูบในเครื่องยนต์นั้นไม่น่าผิดไปจากนี้ ก็คือยังคงจะใช้เครื่องยนต์แบบ 2 สูบเรียงเหมือนกับโมเดลก่อนหน้านี้ ที่ให้แรงบิดในย่านความเร็วต้นถึงกลางอย่างไหลลื่น (ส่วนตัวเลขของเรดไลน์ยังไม่ทราบในขณะนี้) ซึ่งยังไม่ใช่เครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียงอย่างที่เคยเป็นกระแสข่าวก่อนหน้านี้ และเครื่องยนต์น่าจะเป็นเครื่องยนต์ลูกใหม่เลย ไม่ใช่เป็นการนำเอาเครื่องยนต์จากโมเดลก่อนหน้านี้มาปรับปรุง

    อีกหนึ่งโมเดลที่น่าสนใจมากๆ อย่าง New Z900Rs รถแนวคลาสสิกเรโทร ที่มีกลิ่นอายของต้นตระกูลอย่างเจ้า Z1 และ Z2 ซึ่งการคาดการณ์ของโมเดลใหม่นี้น่าจะใช้พื้นฐานเครื่องยนต์ของเจ้า Z900 รถมอเตอร์ไซค์เนกเกตสปอร์ตของทางค่ายที่เปิดตัวไปในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยน่าจะใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันและปรับค่าบางอย่างให้เจ้ากับสไตล์ของรถในแนว Modern Classic ไฟกลม โดยเจ้า Z900RS คันนี้จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 948 ซีซี สี่ลูกสูบเรียง ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ บล็อกเดียวกับ Z900 โดยได้มีการปรับค่าแรงม้าจากเดิมที่มีอยู่ 123 PS โดยปรับลดลงมาให้อยู่ที่ 110 PS และได้ลดรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำลงไป 1,000 รอบต่อนาที เพื่อเพิ่มทอร์คหรือว่าแรงบิด ซึ่งจะทำให้เจ้า Z900RS คันนี้มีพละกำลังแรงบิดสูงสุดที่ 7,500 รอบต่อนาที สนองต่อคอนเซ็ปต์ low-end Torque ที่ทางค่ายได้วางไว้ ในขณะที่ระบบเบรกนั้นเป็นระบบเบรกแบบเรเดียล ซึ่ง Z900 ปกตินั้นไม่มี ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า Z900Rs คันนี้จะมีราคาที่แพงกว่า Z900 ปกตินั่นเอง

    ทั้งหมดนี้ก็คือภาพรวมของรถที่คาดกันว่าจะเปิดตัวกันในงาน Tokyo Motor Show ในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะต้องย้ำกันอีกครั้งว่าภาพทั้งหมดนั้นยังคงเป็นเพียงภาพ render จากทาง young-machine.com โดยเวลาที่เปิดตัวกันจริงๆ อาจจะมีความแตกต่างไปจากภาพเหล่านี้บ้าง รวมไปถึงการเปิดตัวบางรุ่นที่นอกเหนือจากข้อมูลที่ลงไว้ หรือบางรุ่นอาจจะไม่เปิดตัวในงานนี้ อย่างไรก็ตามรอติดตามการถ่ายทอดสดการเปิดตัวของรถรุ่นต่างๆ จากพวกเราทีมงาน Mocyc.com ได้ในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ ส่งตรงจากโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากทั้งหมดจาก young-machine.com