สถาณการณ์ผู้ป่วยไข้เลือดออกในไทยปัจจุบัน พร้อมวิธีป้องกันที่ควรรู้!

  • จิปาถะ อื่นๆ
  • jj
  • 0
  • 07 ก.ย. 2566 17:09
  • 223.27.244.***

โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี ที่แพร่กระจายโดยยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ในตัว หากยุงลายตัวเมียไปกัดคนที่มีเชื้อเดงกีแล้วนำเชื้อไปแพร่กระจายสู่คนอื่นๆ ก็อาจทำให้เราเป็นเลือดไข้เลือดออกได้ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้มีผู้ป่วยไข้เลือดออกในไทยเพิ่มสูงขึ้น 

โดยยุงลายจะกัดคนและดูดเลือดที่มีเชื้อไวรัสเดงกีเข้าไป จากนั้นเชื้อไวรัสจะเจริญเติบโตในร่างกายของยุงลาย โดยจะใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน ซึ่งในปัจจุบันเชื้อไวรัสเดงกีจะมีอยู่ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 แต่สำหรับใครที่เคยเป็นแล้ว และมีการติดเชื้อไวรัสเดงกีซ้ำสายพันธุ์เดิม จะทำให้มีอาการรุนแรงมากขึ้น 

สถานการณ์ผู้ป่วยไข้เลือดออกในไทย

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยไข้เลือดออกสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยไข้เลือดออกในไทยหลายแสนราย เสียชีวิตประมาณ 100-200 ราย สถานการณ์ผู้ป่วยไข้เลือดออกในประเทศไทยในปี 2566 พบว่า มีผู้ป่วยสะสมจนถึงวันที่ 7 กันยายน 2566 จำนวน 27,912 ราย อัตราป่วย 42.18 ต่อประชากรแสนคน และพบผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วทั้งหมด 25 ราย ซึ่งร้อยละ 0.07 ของผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่จะมีอายุมากกว่า 15 ปี จำนวน 19 ราย ส่วนผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 15 ปี เสียชีวิตจำนวน 6 ราย

ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้มีผู้ป่วยไข้เลือดออกในไทยเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

  • อาศัยอยู่ในบริเวณที่มียุงลายชุกชุม

  • มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยไข้เลือดออก

  • มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต เป็นต้น

อาการของโรคไข้เลือดออก

อาการของโรคไข้เลือดออกมักเริ่มด้วยมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดข้อ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน คลื่นไส้ หรืออาจมีผื่นแดงตามผิวหนัง รวมถึงภาวะมีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกตามผิวหนัง อีกทั้งยังอาจเกิดภาวะช็อกได้ด้วยเช่นกัน 

 

การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก

แพทย์จะวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกจากอาการและประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยไข้เลือดออก หากมีอาการเข้าข่ายหรือสงสัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออก แพทย์อาจตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อไวรัสเดงกีเพื่อให้ทราบผลอย่างแน่ชัด 

การรักษาโรคไข้เลือดออก

ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไข้เลือดออกโดยเฉพาะ แต่ในการรักษานั้นจะมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น

  • การพักผ่อนให้เพียงพอ

  • การดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • การรับประทานยาลดไข้

  • การรับประทานยาแก้ปวด

  • การรับประทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ในกรณีที่มีอาการไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส

การป้องกันโรคไข้เลือดออก

จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันมีผู้ป่วยไข้เลือดออกในไทยเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี นั่นทำให้เรายิ่งต้องมีการป้องกันตัวเองจากโรคไข้เลือดออกให้มากเป็นพิเศษ โดยสามารถทำจากวิธีเหล่านี้

  • การป้องกันยุงกัด ได้แก่ ทายากันยุง นอนในมุ้ง ให้เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว

  • การป้องกันไม่ให้ยุงเกิด ได้แก่ กำจัดแหล่งน้ำขังในบ้านและรอบบ้าน

  • การปลูกต้นไม้เพื่อช่วยกำจัดยุงลาย