ศาสตร์แห่งสี Personal Color เลือกให้ถูก จะแต่งหน้า แต่งตัวยังไงก็ปัง!
- จิปาถะ อื่นๆ
- promotion
- 1
- 30 ก.ค. 2563 14:55
- 182.52.203.***
ศึกษาไว้ ได้ใช้แน่
กับทฤษฎีที่ว่าด้วย "ศาสตร์แห่งสี"
ตัวช่วยสำคัญที่ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้า ผม
ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้หมด!
เคยได้ยินกันไหมว่า 'สี' นั้นมีผลต่อความรู้สึก โดยแต่ละสีจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างง่ายๆ พี่โปรจะยกตัวอย่างง่ายๆเช่น เวลาที่เรามองเห็นสีดำ เราจะจินตนาการถึงภาพของความเศร้า หม่นหมอง ไร้ชีวิตจิตใจ แต่ถ้าเปลี่ยนใหม่เป็นให้เรามองภาพของสีขาว เราก็จะจินตนาการคนละด้านกับสีดำ ไม่ว่าจะเป็นความบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสา การกำเนิดเกิดขึ้นของสิ่งใหม่ หรืออะไรๆ ก็ตามแต่ ซึ่งสิ่งที่เรานึกคิดหรือรู้สึกเวลาที่มองเห็นสีนั้นๆ นี่แหละ ที่พี่ โปร จะขอเรียกรวมกันว่าจิตวิทยาของสี
เราสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาของสีได้ง่ายๆ ผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเวลารถติด เรามองเห็นภาพของสีผ่านสัญญาณไฟจราจร สีแดงคือสัญญาณที่บอกให้เราหยุด สีเหลืองคือสัญญาณที่บอกให้เราเตรียมหยุด หรือสีเขียวที่เป็นสัญญาณบอกให้รถสามารถเคลื่อนที่ผ่านไปได้
รวมไปถึงเวลาที่เราจะต้องเลือกธีมเสื้อผ้าสำหรับการออกไป Cafe Hopping สีก็ต้องสัมพันธ์กับบรรยากาศโดยรวมของคาเฟ่นั้นๆ เช่นกัน จะเห็นได้ว่าสีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเราอย่างปฏิเสธไม่ได้ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือถึงขั้นมีการศึกษาเกี่ยวกับ 'ศาสตร์แห่งสี' อย่างจริงจังกันมาแล้ว
Personal Color หรือ ศาสตร์แห่งสี คืออะไร?
เชื่อว่าก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นกับ Personal Color หรือศาสตร์แห่งสีที่ว่านี้กันสักเท่าไหร่ เพราะมันเพิ่งจะมาบูมเอาในช่วงไม่นานมานี้นี่เอง แต่ถ้าหากใครทำงานอยู่ในวงการ Fashion และ Beauty คงจะคุ้นเคยกับศาสตร์แห่งสีนี้กันแน่ๆ โดย Personal Color หรือศาสตร์แห่งสีนี้ถูกนำมาใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรก
แล้วเชื่อไหมว่าคนกลุ่มแรกที่หยิบเอาศาสตร์แห่งสีนี้มาใช้ ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในวงการ Fashion หรือ Beauty แต่อย่างใด แต่เป็นกลุ่มของนักการเมือง ที่ต้องการสร้างจุดเด่นรวมไปถึงการแสดงภาพลักษณ์อันน่าเชื่อถือผ่านสายตาการมองเห็นของประชาชน โดยกฏของ Personal Color นี้เชื่อกันว่าเราทุกคนมีสีที่เป็น 'สีเฉพาะ' ของตัวเอง ซึ่งถ้าใครนำสีนั้นไปปรับใช้กับการแต่งตัว แต่งหน้า รวมไปถึงสีผมต่างๆ ก็จะยิ่งขับให้บุคลิกภาพภายนอกของเรา สะท้อนถึงตัวตนและมีความเป็นเรามากยิ่งขึ้น
จะหา Personal Color ได้ ต้องเริ่มจากอะไร?
1. ทำความรู้จักโทนสี
ก่อนจะลงลึกรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการหา Personal Color ของตัวเอง พี่ โปรโมชั่น ขอเริ่มจากการทำความรู้จักกับโทนสีประเภทต่างๆ กันก่อนดีกว่า สำหรับโทนสีหลักๆ นั้นจะมีด้วยกันทั้งหมด 2 โทนสี คือ Yellow Base กับ Blue Base ซึ่งแต่ละโทนสีจะประกอบไปด้วยโทนสีย่อยๆ อีก 4 ประเภท ซึ่งตั้งชื่อตามฤดูกาล ดังนี้
Yellow Base หรือ Warm Tone จะประกอบไปด้วยโทนสี Spring และ Autumn
Blue Base หรือ Cool Tone จะประกอบไปด้วยโทนสี Summer และ Winter
หมายเหตุ : ที่มาของชื่อสีตามฤดูกาลนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นการทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแต่ละโทนสีก็จะมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างกันออกไป ที่สำคัญคือตรงกับ Base ของตัวเองมากๆ
2. หา Base Color ของตัวเอง
สำหรับขั้นตอนในการหา Base Color ของตัวเองนั้นมีหลายวิธีมาก เริ่มตั้งแต่
ดูจากเส้นเลือดบนข้อมือ (เห็นชัดที่สุด) หากเพื่อนๆ มองเห็นเส้นเลือดที่อยู่บนข้อมือของตัวเองเป็นโทนสีเขียว นั่นแปลว่าเรามี Base Color เป็นโทน Yellow Base แต่ถ้ามองเห็นเส้นเลือดเป็นโทนสีฟ้าหรือสีม่วง นั่นแปลว่าเรามี Base Color เป็นโทน Blue Base จ้า
ดูจากสีผมและสีตา หากใครที่มีสีผมและสีตาค่อนไปทางดำตั้งแต่เกิด (ไม่ใช่สีผมที่เกิดจากการย้อมใหม่นะ) นั่นแปลว่าเราเป็นโทน Blue Base หากผมเราเป็นสีดำก็จริง แต่ถ้านำไปโดนแดดแล้วสะท้อนออกมาเป็นโทนสีน้ำตาล หรือผมออกสีชัดมากว่าไม่ใช่สีดำ นั่นแปลว่าเราอยู่ในโทน Yellow Base (นอกจากผมแล้วรวมไปถึงสีตาด้วยเช่นกันนะ)
ดูจากสีผิวหลังถูกแดด ไม่รู้อันนี้หลายคนเคยสังเกตกันไหม หรือเข้าใจว่าเป็นโทนเดียวกันหมด ซึ่งความจริงแล้วสีผิวหลังถูกแดดของคนเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 โทน คือถูกแดดแล้วผิวแดง อันนี้จัดว่าอยู่ในกลุ่ม Blue Base กับถูกแดดแล้วผิวคล้ำ อันนี้จัดว่าอยู่ในกลุ่ม Yellow Base นะจ๊ะ
ดูจากสีเครื่องประดับที่เข้ากับผิว อันนี้ พี่ promotion มองว่าน่าสนใจมากๆ เพราะสีของเครื่องประดับนั้นสามารถบอก Base Color ของสีผิวเราได้เช่นกัน หากใครที่รู้สึกว่าสีผิวของตัวเองเวลาสวมเครื่องประดับที่ทำมาจากเงินแล้วรู้สึก 'เข้า' มากกว่า นั่นแปลว่าเรามีสีผิวโทน Blue Base แต่ถ้าหากรู้สึกว่าผิวของเราเหมาะกับเครื่องประดับที่ทำมาจากทองมากกว่า ใส่แล้วขึ้นกว่า แปลว่าเรามีผิวโทน Yellow Base นั่นเองจ้า
ได้เวลาหา Personal Color ของตัวเอง
ยัง ยังไม่จบ หากใครคิดว่าการที่เรารู้ Base Color ของตัวเองแล้วทุกอย่างจะจบ บอกเลยว่ายังไม่จบ! เอาจริงๆ ก็คือมันก็เหมือนกับก้าวแรก เพราะถ้าถามว่าการที่เรารู้ Base Color ของตัวเองนั้นมีประโยชน์ไหม ปันโปรตอบได้เลยว่า 'มีประโยชน์มาก' เพราะการที่เรารู้ Base Color ของตัวเองจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเราในการเลือกซื้อเสื้อผ้า, เครื่องประดับ รวมไปถึงสีของเมคอัพที่เหมาะสำหรับโทนสีผิวของเรา อีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเรามากขึ้นด้วย
แต่อย่าลืมกันไปว่า Base Color ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Blue Base หรือ Yellow Base นั้นก็มีโทนสีแยกย่อยออกไปอีก นี่แหละจ้ะที่จะทำให้เราเข้าถึง Personal Color ของตัวเองได้ มันอยู่ที่ตรงนี้! แต่ขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าศาสตร์แห่งสีอย่าง Personal Color นี้เป็นอะไรที่มีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก ถึงขนาดมีคอร์สสอนอย่างจริงจังกันเลยนะ หากเพื่อนๆ สนใจสามารถไปหาคอร์สเพื่อลงเรียนเพิ่มเติม นอกเหนือจากนี้กันได้น้าา
มาเริ่มกันที่กลุ่ม Yellow Base (อย่าลืมเลื่อนขึ้นไปเช็กกันก่อนนะว่าตัวเองมีสีผิวที่อยู่ในโทนนี้กันไหม ถ้าใช่ก็อ่านต่อได้เลยจ้า) สำหรับกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วย 2 โทนสี ได้แก่
Spring หรือฤดูใบไม้ผลิ สำหรับคนที่เหมาะกับสีโทน Spring นี้ จุดสังเกตง่ายๆ เลยก็คือ เวลาตากแดดนานๆ กลับมา ผิวจะฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมได้ไวมาก ถ้าคล้ำก็คือคล้ำอยู่ไม่นาน แล้วก็กลับมาสู่สภาพปกติ อีกทั้งบุคลิกของคนที่เหมาะกับโทนสีนี้มักจะเป็นคนที่มีบุคลิกสดใส น่ารัก ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข สำหรับสีที่เหมาะก็ตามนี้เลยจ้า~
Autumn หรือฤดูใบไม้ร่วง สำหรับสีโทนนี้เรามักจะคุ้นเคยและเรียกกันว่า โทนสีตุ่นๆ แนว Earth Tone ธรรมชาติๆ ข้อสังเกตของคนโทนนี้คือ เวลาไปตากแดดนานๆ ผิวมักจะคล้ำแดดนานกว่า ใช้เวลาในการฟื้นฟูนาน กว่าผิวจะกลับมาเป็นปกติ ส่วนบุคลิกลักษณะของคนกลุ่มนี้คือมักจะขรึมๆ สุภาพ มีท่าทางที่สง่า พูดจาตรงไปตรงมา
มาต่อกันที่กลุ่ม Blue Base กันบ้าง สำหรับโทนสีในกลุ่ม Blue Base นั้นก็ประกอบไปด้วย 2 โทนสีเช่นกัน ได้แก่
Summer หรือฤดูร้อน สำหรับสีที่โดดเด่นเลยก็คงหนีไม่พ้นโทนสีแนวพาสเทล อมฟ้า อมม่วง ที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล อ่อนหวาน คนที่มีบุคลิกลักษณะที่เหมาะกับโทนสีนี้จะเป็นคนที่มีความเป็นผู้หญิงสูงมาก เรียบร้อยประหนึ่งผ้าพับไว้
ซึ่งตรงกันข้ามกับ Winter หรือฤดูหนาว ที่สังเกตได้ง่ายๆ เลยก็คือ คนที่เหมาะกับโทนสีกลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีสีผม สีตาเข้มเป็นสีดำตั้งแต่เกิด แถมยังเป็นกลุ่มเดียวที่เหมาะกับสีดำ ใส่สีดำแล้วขึ้น นอกจากสีดำแล้ว สีอื่นๆ ก็ล้วนจะเป็นสีโทนแม่สี คือมีความจัดจ้าน ไม่ผสมผสานสีอื่นๆ ลงไป จุดเด่นของคนกลุ่มนี้คือ ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะเป็นผู้หญิงที่เท่ มีความมั่นใจ มุ่งมั่น ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่แพ้กัน เท่ไม่เป็นสองรองใครเลยจ้ะพี่จ๋า
สำหรับสีที่แยกย่อยออกมานั้น เพื่อนๆ ไม่ต้องสังเกตอะไรกันให้ยุ่งยาก นอกจากสังเกตตัวเองกันดูว่า เวลาเราสวมเสื้อผ้า ทาลิปสติก หรือทำสีผมออกมาในโทนไหนแล้วรู้สึกว่ามันเข้ากับตัวเอง นั่นแปลว่าสีโทนนั้นอาจจะเหมาะกับเรา แต่ถ้าสีไหนไม่เข้า ทำแล้วรู้สึกไม่มั่นใจ นั่นก็แปลว่าเราอาจจะไม่ได้เหมาะกับสีนั้นๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด อย่าลืมเช็ก Base Tone ของตัวเองกันก่อนนะว่าเรามีสีผิวที่เหมาะกับโทนไหน เพื่อที่จะทำให้ง่ายต่อการนำไปปรับใช้กันนะจ๊ะ
และนี่ก็เป็นวิธีการหา Personal Color ของตัวเองเบื้องต้น ถ้าเพื่อนๆ ได้โทนสีที่เหมาะกับตัวเองกันแล้ว สามารถนำไปใช้ในการเลือกสีเสื้อผ้า เครื่องประดับ เมคอัพ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่เหมาะกับตัวเองกันได้ แต่ปันโปรก็เข้าใจนะว่าในบางโอกาสเราก็จำเป็นที่จะต้องเลือกสีที่อาจจะไม่ได้เหมาะกับเรา อาทิเช่น งานศพ หรืองานแต่งที่อาจจะมีธีมสีให้ไว้อยู่แล้ว อันนั้นก็ถือว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจแทนก็แล้วกันเนอะ
สรุปให้ก่อนไปค้นหาสีที่ใช่!
• ศาสตร์แห่งสี หรือ Personal Color นี้ มีรายละเอียดที่ลงลึกไปได้อีกเยอะมากๆ หากเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจสามารถไปหาคอร์สเพื่อศึกษาเพิ่มเติมกันได้ หรือใครที่อยากจะนำไปปรับใช้กับตัวเองเบื้องต้น ก็หวังว่าความรู้ที่เรานำมาฝากกันนี้ จะมีประโยชน์กับทุกคนกันนะ
• สิ่งสำคัญที่สุดของการหา Personal Color ของตัวเองนั้นอยู่ที่ Base Tone เพราะถ้าเราไม่รู้ ก็จะไม่นำไปสู่ขั้นตอนของการหาสีที่ใช่นะ ยังไงอย่าลืมนำวิธีที่ปันโปรบอกข้างต้นไปหา Base ของตัวเองกันเด้อ
30 ก.ค. 2563