?ขาดมือถือ เหมือนขาดใจ? นี่แหละอาการของ โนโมโฟเบีย
- จิปาถะ อื่นๆ
- promotion
- 0
- 09 ธ.ค. 2562 10:07
- 101.108.100.***
NO MOBILE PHONE PHOBIA
'โรคใหม่แห่งยุคสังคมก้มหน้า'
คืออะไร? ทำไมต้องระวัง?
พี่โปรโมชั่นเรามีคำตอบมาให้แล้วจ้าา
ถ้าพูดถึงโนโมโฟเบีย ทุกคนจะต้องเกิดความสงสัยกันแน่นอนว่ามันคืออะไร บอกได้เลยว่าคำๆ นี้ เป็นคำที่คนในสังคมทั่วไปควรจะต้องให้ความสำคัญกันมากๆ เพราะโนโมโฟเบีย หรือ Nomophobia นี้มาจากการผสมผสานของคำว่า No Mobile Phone Phobia เป็นคำที่แสดงถึงอาการของการเสพติดโทรศัพท์มือถือขั้นรุนแรงที่เรามักจะเห็นได้บ่อยในปัจจุบัน หรือใครที่มีอาการเสพติดมือถือกันอยู่ พี่ promotion บอกเลยว่าต้องระวังกันไว้ให้ดี เพราะเผลอๆ คุณอาจจะมีแนวโน้มเป็นโรคนี้ โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวกันก็ได้
Nomophobia คืออะไร?
Nomophobia (โนโมโฟเบีย) มีที่มาจากคำว่า No Mobile Phone Phobia เป็นกลุ่มอาการของคนที่มีพฤติกรรมเสพติดการใช้มือถือมากกว่าปกติ มักจะแสดงอาการหวาดระแวงและกังวลเป็นอย่างมาก โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากการใช้โทรศัพท์มือถือนั่นเอง
และถึงแม้ว่าทางการแพทย์ยังไม่มีข้อกำหนดให้ Nomophobia นี้เป็นโรคร้ายแรง แต่ลักษณะของอาการและสาเหตุนั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนในสังคมโดยตรง ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตนั้นจะถูกนำไปจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับโรคจิตเวชในหมวดวิตกกังวลอีกด้วย
ลักษณะอาการของ Nomophobia
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข ได้เปิดเผยถึงลักษณะอาการของคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงว่าจะมีการเสพติดมือถือว่า บางรายมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก รวมถึงคลื่นไส้เวลาที่ไม่มีมือถืออยู่กับตัว เมื่อนานเข้าจะเกิดอาการนิ้วล็อก ตาพร่า ตาล้า ตาแห้ง หรือเผลอๆ อาจจะร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้จอประสาทตาเสื่อมเลยทีเดียว
จากสถิติในปัจุบันนี้ พี่ โปร เห็นแล้วก็น่าตกใต เพราะกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการเสพติดมือถือมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น วัยรุ่น ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี คนวัยทำงาน อายุระหว่าง 25-34 ปี และวัยใกล้เกษียณตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป
มาเช็กดูกันดีกว่าว่าเรามีพฤติกรรมอยู่ในกลุ่มที่สุ่มเสี่ยงไหม จากทั้งหมด 10 ข้อนี้เป็นตัวเราไปแล้วกี่ข้อกันเอ่ย ถ้ามากกว่า 5 ขึ้นไปนี่ต้องระวังกันแล้วนะ เป็นห่วงเด้อออ
1.พกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา
2.ถ้าโทรศัพท์มือถือไม่ได้อยู่ในมือ เราจะคลำหามันทันที
3.ต่อให้ไม่มีใครส่งข้อความมาหาเรา เราก็จะรีเช็กมันอยู่เรื่อยๆ
4.ถ้ามีเสียงข้อความเข้า ต่อให้ไม่ใช่ของเรา เราก็จะเข้าไปเช็กดู
5.หลังจากตื่นนอนเราจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กเป็นสิ่งแรก
6.ก่อนจะเข้านอน เรามักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นจนกว่าจะง่วง
7.ใช้โทรศัพท์ระหว่างทานข้าว ขับรถ เข้าห้องน้ำ หรือแม้แต่นั่งรถโดยสาร
8.ถ้าลืมโทรศัพท์ เราจะกระวนกระวายใจทันที
9.ห้ามใจไม่ให้เล่นโทรศัพท์ภายใน 1 ชั่วโมงไม่ได้
10.ชอบคุยกับเพื่อนผ่านโลกออนไลน์มากกว่าตัวจริง
เพื่อการ ปลูกผม ด้วยวิถีธรรมชาติ
ถ้ารู้ตัวว่าสุ่มเสี่ยง เราจะรับมือกับมันยังไง?
ถึงแม้ว่าโนโมโฟเบียจะไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง ก็ควรที่จะรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของเราทันที รู้จ่ะว่ายาก แต่ลองเริ่มจากอะไรง่ายๆ ก่อน อย่างเช่น พักเล่นโทรศัพท์สัก 10-30 นาทีต่อวัน แล้วใช้เวลาที่พักนั้นไปกับกิจกรรมอื่นๆ อาทิ ดูหนัง, ฟังเพลง, เดินห้าง ฯลฯ เมื่อรู้สึกว่าตนเองเริ่มห่างจากการเล่นมือถือมาได้แล้วก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเวลาให้มากขึ้น เชื่อเถอะว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ดังนั้นไม่ต้องวอรี่กันไปน้าา
ปันโปรสรุปให้
-ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรากันมากขึ้น อย่างโทรศัพท์มือถือเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเราเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า คนในสังคมจะมีพฤติกรรมการเสพติดมือถือขึ้นมา
-Nomophobia คือผลกระทบที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการเสพติดมือถือ ซึ่งส่งผลกระทบในแง่ลบต่อคนๆ นั้นทั้งทางจิตใจและสุขภาพ
-ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการ พยายามจำกัดเวลาการเล่นโทรศัพท์ของตนเองให้น้อยลง และหันมาทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งผลในแง่ดีกันให้มากขึ้น เพียงเท่านี้เราก็ห่างไกลจากอาการโนโมโฟเบียนี้กันแล้วจ้าา