"20 ปีแห่งการพัฒนาของ CBR 600RR" ตลอด 20 ปีแห่งการพัฒนามอเตอร์ไซค์สายพันธุ์สปอร์ตในพิกัด 600cc ของฮอนด้า เริ่มต้นจาก CBR 600 Hurricane เครื่องยนต์ 80 แรงม้า กับความเร็วสูงสุด 224 Km/H เมื่อปี 1987 สู่รุ่นล่าสุด CBR 600RR โฉมปัจจุบัน ที่มาพร้อมกับแรงม้าในคอกถึง 118 ตัวกับความเร็วสูงสุดกว่า 265 km/h โดยนับตั้งแต่รุ่นแรกถึงรุ่นสุดท้ายนั้นก็เป็นเวลา 20ปีมาแล้ว ยอดจำหน่ายรถ CBR 600 ทั้งหมดตั้งแต่ปีแรกถึงปีปัจจุบันกว่า 400,000 คัน คงจะบ่งบอกถึงคุณภาพและความไว้วางใจของสิงห์นักบิดทั่วโลกได้เป็นอย่างดี ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น CBR 600 RR ก็ได้สร้างชื่อเสียงในเวทีการแข่งขันระดับโลกให้กับ Honda ไว้มากมาย เช่นการคว้าแชมป์ในรายการระดับโลกเป็นสมัยที่ 7 ติดต่อกัน จากฝีมือการขับขี่ของ MR. Kenan Sofuoglu นักแข่งชาวตุรกี อายุ 24ปี สังกัดทีม HANNspree Ten Kate Honda's ในรุ่น World Supersport Championship* และในปี 2007 ที่ผ่านมา CBR 600 ได้มีอายุครบ 20 เต็ม ซึ่งในปี 2007 นี่เองทางฮอนด้าก็ได้ออกรถ CBR 600RR ตัวใหม่ที่มาพร้อมกับรูปโฉมและประสิทธิภาพอัดแน่นมาจนเกินตัว แต่ก่อนที่เราจะพูดถึง CBR 600RR ตัวใหม่ว่ามีอะไรเพิ่มเติมมาบ้าง ผมขออนุญาติพาทุกท่านมาย้อนอดีตกันซักนิดกับรถในตระกูล CBR 600 ทั้งหมดตั้งแต่ปี 1987 ถึงปี 2005 แบบคร่าวๆกันก่อนนะครับกว่าจะมาเป็น CBR 600 RR โฉมปัจจุบัน CBR 600RR ในอดีตจะมีรูปร่างหน้าตาและมีการพัฒนาเป็นอย่างไร 1987 : CBR 600 Hurricane จุดเริ่มต้นของรถตระกูล CBR 600 เริ่มต้นที่ปี 1987 เมื่อฮอนด้าเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์รุ่น CBR 600 Hurricane ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 598cc 83 แรงม้า กับน้ำหนักเปล่า 201 กิโลกกรัม ที่สามารถพาคุณวิ่งไปถึงความเร็วสูงสุดกว่า 224 Km/H เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นมิติใหม่ในวงการรถมอเตอร์ไซค์ในสมัยนั้น เป็นอย่างมาก เพราะปรกติในช่วงเวลานั้นรถมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับความนิยมในตลาดจะเป็นรถในคลาส250cc,400cc,750ccและ1,000ccเป็นหลัก 1990 : CBR 600 F มาถึงปี 90 คำว่า Hurricane ได้ถูกยกเลิกไปและตัวอักษร F เข้ามาแทนที่ พร้อมกับมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีแรงม้ามากกว่าเดิมอีก 10 แรงม้า ทำให้เจ้า CBR 600 F ตัวนี้มีแรงม้าอยู่ที่ 93 แรงม้า กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอีก 8 กิโลกรัม เป็น 209 กิโลกรัม พร้อมกับความเร็วสูงสุดที่เพิ่มขึ้นอีกนิดเป็น 227 Km/H 1991 : CBR 600 F2 CBR 600 F ปี 90 ที่ออกมาได้เพียงแค่ปีเดียว Honda ก็ตัดสินใจปล่อยเจ้า CBR 600 F2 ออกมาพร้อมกับทรวดทรงที่ดูสปอร์ตปราดเปรียวมากขึ้น เครื่องยนต์ที่มีการพัฒนาใหม่ให้มีกำลังเครื่องยนต์สูงถึง 100 แรงม้า กับเฟรมที่กระทัดรัดขึ้นกว่าตัวก่อน ช่วงล่างและระบบเบรคปรับปรุงใหม่ พร้อมเปลี่ยนขนาดล้อหน้าหลังใหม่เป็น 120/60/17 , 160/60/17 พร้อมกับท๊อปสปีดที่ 230 Km/h ถือได้ว่าเจ้า F2 คันนี้ได้พัฒนาไปอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเครื่องยนต์และรูปทรงของรถ จนอาจจะพูดได้ว่า CBR 600 F2 รุ่นนี้เป็นต้นแบบอย่างแท้จริงของรถในตระกูล CBR 600 รุ่นที่กำลังจะตามมา 1995 : CBR 600 F3 ฮอนด้าได้ปล่อย CBR 600 F2 ให้กรำศึกอยู่บนสังเวียนรถสปอร์ตมิดเดิลเวท (Middleweight) มาถึง 4 ปี จนในปี 1995 CBR 600RR F3 ก็คลอดออกมาพร้อมกับรูปทรงที่ดูสปอร์ตขึ้น ให้สอดคล้องกับรถที่มีรูปทรงโค้งมนตามไสตล์ของการออกแบบในช่วงกลางยุค '90 นอกจากรูปทรงที่สวยงามแล้ว เจ้า F3 คันนี้ยังถูกจับเข้าคอร์สรีดไขมันเพิ่มกล้ามเนื้อ จนทำให้มันมีน้ำหนักลดลงจากเดิมกว่า 20 กิโลกรัมพร้อมกับปรับปรุงระบบเบรคและช่วงล่างใหม่เพื่อรองรับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น 1999 : CBR 600 F4 F4 คันนี้เป็นเหมือนหมัดเด็ดที่ออกมาช่วงชิงความเป็นหนึ่งในคลาสรถรถ 600cc ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากในช่วงปลายยุค '90 แรงม้าถูกเพิ่มขึ้นมาอีก 10 แรงม้าเป็น 110 แรงม้า จากเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่ผ่านการลดน้ำหนักและปรับปรุงประสิทธิภาพให้สูงขึ้น พร้อมทั้งยังได้แรมแอร์คู่ที่ช่วยสร้างแรงอัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์เพื่อเพิ่มแรงม้าได้เป็นอย่างดี รวมถึงเฟรมที่ผ่านออกแบบใหม่และระบบกันสะเทือนหลังแบบ H.M.A.S. (Honda Multi-Action System) กับน้ำหนักที่ลดลงเหลือ 170 กิโลกรัม จึงทำให้รถคันนี้ดูน่าเกรงขามกว่า CBR 600 F3 ตัวเก่าอย่างเห็นได้ชัด รูปทรงที่โค้งมน ตัวถังและมิติของรถที่เล็กขึ้น สปอร์ตมากกว่าเดิม ทำให้รถ F4 คันนี้ มีดีทั้งภายนอกและภายใน 2001 : CBR 600 F4i ในช่วงต้นยุคปี2000 รถสปอร์ตส่วนใหญ่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงระบบจ่ายน้ำมันจากเดิมที่เป็นแบบคาร์บูเรเตอร์สู่ระบบหัวฉีด CBR 600 ก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบบหัวฉีดเช่นกัน ตัวอักษร i ได้ถูกนำมาเติมที่ท้ายตัว F เพื่อบ่งบอกถึงระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI ด้วยแรงม้าที่เพิ่มขึ้นอีก 1 แรงม้าเป็น 111 แรงม้าและน้ำหนักที่ถูกรีดลงเหลือ 167.8 กิโลกรัมและสามารถทำความเร็วสูงสุดได้กว่า 250 Km/h พร้อมกับมีการปรับปรุงในเรื่องของรูปทรงรถเพื่อให้ดูโฉบเฉี่ยวขึ้น เบาะหนังแบบตอนเดียวถูกแทนที่ด้วยเบาะนั่งแบบสองตอน ทำให้บั้นท้ายของรถ F4i ดูสปอร์ตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 2003 : CBR 600 RR ผ่านมา 2 ปีรถหัวฉีดรุ่นที่ 2 ในตระกูล CBR 600 ก็ถูกปล่อยออกมา พร้อมเทคโนโลยีของรถ RC211V ของฮอนด้าที่อัดแน่นอยู่ในรถ CBR 600RR คันนี้แบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกแบบของรถ หรือจะเป็นการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมาพัฒนาในเคริ่องยนต์บล็อคใหม่ จนทำให้มีแรงม้าสูงถึง 117 แรงม้า จากระบบสั่งจ่ายน้ำมันอัจฉริยะ PGM-DSFI ที่ใช้หัวฉีดของ Denso ถึงสองหัวฉีดต่อหนึ่งสูบ โดยหลักการคร่าวของการทำงานเป็นดังนี้ หัวฉีดตัวแรกจะทำงานตั้งแต่รอบเดินเบาจนถึง 5000 รอบ เมื่อรอบเครื่องเกิน 5500 รอบหัวฉีดตัวที่ 2 จะทำงานประสานกันทันที ระบบกันสะเทือนหลังแบบ Unit Pro Link ลิขสิทธิ์เฉพาะของ Honda ที่อยู่ในรถ RC211V นี้ ที่ผ่านการทดสอบและใช้งานจากสนามแข่ง Moto Gp ก็ได้ถูกนำมาติดตั้งในรถ CBR 600RR คัน นอกจากนั้นแล้วเฟรมยังได้ถูกดีไซน์ใหม่ให้มีขนาดเล็กและเบาขึ้น บวกกับตำแหน่งท่อไอเสียใหม่ที่ถูกย้ายไปไว้ตรงบริเวณซับเฟรมใต้เบาะหลังเพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดีและรูปทรงเร้าใจตามสมัยนิยม พร้อมกับรหัส RR ที่บ่งบอกถึงความร้อนแรงกว่ารหัส F ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เจ้า CBR 600RR รุ่นนี้แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง 2005 : CBR 600RR หลังจาก CBR 600 RR ออกมา 2 ปี ฮอนด้าได้ตัดสินใจปรับปรุง CBR 600RR ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในคลาส 600cc โดยเจ้า RR คันใหม่นี้ ถูกปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม โดยเริ่มต้นตั้งแต่การเปลี่ยนระบบกันสะเทือนหน้าใหม่เป็นแบบ USD ขนาด 41mmพร้อมกับระบบ H.M.A.S ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับตั้งค่าของช่วงล่างได้อย่างละเอียด สวิงอาร์มหลังถูกลดน้ำหนักลงและยังใช้คงเลือกใช้ระบบกันสะเทือนหลังแบบ Unit Prolink อยู่เหมือนเดิม เบรคหน้าถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแบบ Radial Mounted พร้อมจานเบรคขนาด 310 มิลลิเมตร เฟรมและซับเฟรมถูกนำมาปรับปรุงใหม่ให้มีน้ำหนักเบาขึ้น พร้อมทั้งยังปรับปรุงระบบต่างๆให้ดีเพิ่มขึน จนทำให้น้ำหนักเปล่าลดลงเหลือ 163 กิโลกรัมเท่านั้น โดย RR ตัวนี้ออกมาโลดแล่นอยู่อีก 2 ปีจนถึงปี 2007 ปีที่ CBR 600RR รุ่นใหม่ออกมา... นั่นคืออดีตที่ผ่านมาทั้งหมดของรถตระกูล CBR 600 ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว มาตลอดเวลากว่า 18 ปี จนมาถึงปี 2007 ฮอนด้าได้เปิดตัวรถ CBR 600 RR โฉมใหม่ที่ดูปราดเปรียวกว่าตัวเดิมอย่างเห็นได้ชัด กับรหัสโมเดลคือ PC - 40 ภายใต้คอนเซป "Lighter Weight for Ultimate Control" ที่ผ่านการพัฒนาและนำเทคโนโลยีของรถ Moto GP มาใช้ ด้วยเครื่องยนต์หัวฉีด PGM-DSFI ที่ใช้หัวฉีด 2 หัวต่อ 1 สูบโดยหัวฉีดทั้ง 2 ตัวนี้จะทำงานประสานกันในรอบต่ำและรอบสูง เครื่องยนต์ที่มีปริมาตรความจุ 599 cc 4 สูบ 118 แรงม้าที่ 13,500 รอบ พร้อมกับแรงบิด 8.9 กิโลกรัม/เมตร ที่ 11,250 รอบ เป็นครั้งแรกที่เครื่องยนต์ 600cc นั้นมีขนาดเครื่องยนต์เล็กกว่าเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 250cc ของฮอนด้า ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาไปอีกขั้นในเรื่องของการออกแบบเครื่องยนต์ เฟรมอลูมิเนียมตัวใหม่แบบ FDC (Fine Die-cast)ที่เบากว่าและเพรียวกว่าตัวเดิม บวกกับกันสบัด H.E.S.D ที่ถูกติดตั้งในรถตระกูล CBR 600 เป็นครั้งแรก โดยผ่านการทดสอบมาจากเจ้า 1000RR Fireblade รุ่นพี่ที่ติดตั้งมาก่อนหน้านี้ โดยกันสบัดตัวนี้มีการปรับปรุงใหม่ให้กระทัดรัดและเบามากกว่าเดิม ด้วยเทคโนโลยีที่อัดแน่นอยู่ในรถคันนี้ บวกกับความตั้งใจที่จะทำให้มันเป็นรถที่ขี่ได้ดีไม่ว่าจะในสนามแข่งหรือบนถนน เป้าหมายแรกของโปรเจคนี้เริ่มต้นจากการเข้าคอร์สลดน้ำหนักให้ได้มากที่สุด ด้วยการใช้วัสดุที่เบาและใช้เทคโนโลยีในการออกแบบไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างและเครื่องยนต์ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือน้ำหนักเปล่าของรถคันนี้เบากว่ารถโมเดลเก่าถึง 8 กิโลกรัม แน่นอนว่าน้ำหนักที่ลดลงมาขนาดนี้ย่อมส่งผลให้อัตราเร่งและการควบคุมรถดีมากขึ้นตามไปด้วย พร้อมทั้งอุปกรณ์ที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากมาย เพื่อที่จะทำให้รถในคลาส middle weight คันนี้ไม่ธรรมดาและไม่น้อยหน้าใคร ระบบกันกันสะเทือนและระบบเบรคของ CBR 600RR คันนี้นั้นก็ได้ปรับปรุงใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าด้วย เริ่มต้นจากระบบกันสะเทือนหน้าแบบ Inverted HMAS Telescopic ขนาด 41mm ระยะยุบ 120 มม. ระบบเบรคของ Tokico แบบ Radial-Mounted ขนาด 4 ลูกสูบ กับจานเบรคขนาด 310 มม. พร้อมกับวงล้ออลูมีเนียม 3 ก้านขนาด 17 นิ้วที่มาพร้อมกับยางขนาด 120/70/17 ระบบกันสะเทือนหลังยังคงใช้ระบบ Unit Prolink ที่พัฒนามาจากรถแข่งระดับโลก RC 212V ของออนด้า ที่ระบบช่วงล่างแบบนี้ ตัวโช๊คอัพหลังจะทำงานอิสระโดยที่ไม่มีจุดยึดของโช๊คอัพติดอยู่กับตัวเฟรม ผลคือ เฟรมของรถนั้นจะไม่ต้องรับแรงเค้นและแรงกระทำที่เกิดจากตัวโช๊คอัพ โดยโช๊คอัพแบบ HMAS ที่มีระยะยุบ 130มม. จะมีจุดยึดโช๊คอัพทั้งด้านบนและด้านล่างจะอยู่ที่ตัวสวิงอาร์มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนระบบเบรคจะเป็นแบบ ลูกสูบเดียวพร้อมจานเบรคขนาด 220 มม. พร้อมกับวงล้ออลูมีเนียมที่มีน้ำหนักเบาแบบ 3 ก้านขนาด 17 นี้วที่มาพร้อมกับยางขนาด 180/55/17 ชุดหน้าปัดที่ดีไซน์ใหม่ โดยจุดเด่นอยู่ที่มาตรวัดรอบที่มีขนาดใหญ่ เกจ์วัดความเร็วและมาตรวัดปริมาณน้ำมัน ที่แสดงสถานะผ่านจอ LCD ที่ให้ความชัดเจนสูง ระบบกันสบัดแบบ HESD (Honda Electronic Steering Damper) ที่ควบคุมแรงต้านของกันสบัดผ่านการคำนวนด้วยเซนเซอร์ที่แม่นยำ โดยกันสบัด HESD ตัวนี้ถือว่าเป็น 2nd generation ที่ผ่านการพัฒนามาจาก ระบบ HESD รุ่นแรกที่ติดตั้งอยู่ใน CBR 1000RR '04 ซึ่งในกันสบัดตัวใหม่นี้จะให้น้ำหนักที่เบากว่าเดิมถึง 20% และยังคงประสิทธิภาพได้ดีเหมือนเดิม ใครว่าเล็กและสั้นไม่ดี เครื่องยนต์ตัวใหม่ของCBR 600RR นี้ได้ผ่านการออกแบบใหม่และใช้วัสดุที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดดยทำให้เครื่องยนตืตัวหใม่นี้มีมิติที่เล็กและสั้นกว่าเครื่องยนต์ 250cc แบบ 4 สูบของฮอนด้าที่เคยมีมา พร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆที่มีการติดตั้งเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นระบบ IACV ( Intake Air Control Valve) ที่ช่วยควบคุมรอบให้เรียบและนิ่งมากยิ่งขึ้น บวกกับการออกแบบชุดเกียร์ใหม่ทำให้ลดการกระชากและลดแรงเสียดทานในการส่งกำลังได้เป็นอย่างดี ระบบไฟส่องสว่างมีการพัฒนาให้มีความชัดเจนขึ้น โดยได้คำนึงถึงรูปทรงให้เป็นไปตามแนวทางการอกแบบของรถด้วย โดยจะเห็นว่าไฟหน้าคู่ดวงใหม่นั้น มีขนาดบางและเรียวกว่าขนาดไฟหน้าจากรถรุ่นเก่าค่อนข้างมาก แต่ไม่ทำให้ความสว่างนั้นลดลง ส่วนไฟเบรคหลังนั้นใช้ไฟแบบ LED ที่ให้ความสว่างในยามค่ำคืนได้อย่างไม่ธรรมดา ระบบ Ram Air ที่พัฒนามาจากรถซุปเปอร์ไบค์รุ่นพี่ RC51 ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ HONDA ไว้อย่างมากมายในช่วงปี 2000 ระบบ Ram Air ที่พัฒนาใหม่นี้ ถูกวางตำแหน่งของรูดักอากาศไว้ตรงกลางระหว่างไฟหน้าทั้งสองดวง เพื่อที่จะดูดอาหาศได้เต็ม ผ่านเข้าไปที่ กรองอากาศ เพื่อเพิ่มแรงม้าและแรงบิดให้มากยิ่งขึ้น โดยชุดท่อดักอากาศชุดนี้ทำจากวัสดุ FRP ( Fiber Reinforced Plastics ) ที่มีน้ำหนักเบา ชุดแฟริ่งดีไซน์ใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปีกของเครื่องบินรบและระบบแอโร่ไดนามิคของรถ F1 ของฮอนด้า ที่ให้รูปทรงโฉบฉี่ยวและลดสัมประสิทธิแรงเสียดทานได้เป็นอย่างดี ความสูงเบาะของ CBR 600RR คันนี้ถูกเพิ่มความสูงจากเดิมมาอีก 3 มม. จากตัวเดิม เพื่อจะได้ภาพที่ชัดเจนเราจึงได้ทำการลองคร่อมรถจริงเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่า คนสูงระดับไทย หุ่นมาตรฐาน เมื่อคร่อมรถรุ่นนี้ไปแล้วจะเป็นอย่างไร จากภาพจะเป็นได้ว่าครูฝึกขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่มีความสูงประมาณ 174 ซม. ขึ้นคร่อมรถด้วยท่าทางปรกติ ขาทั้งสองข้างสามารถเหยียดลงพื้นได้เต็มฝ่าเท้าด้วยรองเท้าขับขี่มอเตอร์ไซค์แบบมาตรฐานที่มีความหนาของพื้นเพียง 1ซม. เพราะฉนั้นหากคุณเป็นคนที่มีความสูงอยู่ที่ 168 ซม. ขึ้นไป พร้อมกับรองเท้าขับขี่มอเตอร์ไซค์ ความสูงเบาะของรถ CBR 600RR คันนี้ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณแน่นอน คราวนี้มาดูท่านั่งเพื่อเตรียมพร้อมการขับขี่กันบ้าง จากรูปจะเห็นได้ว่า CBR 600RR คันนี้ออกแบบมาด้วยท่านั่งที่สบาย กว่าเดิมด้วยการยกแฮนด์ขึ้นสูงจากเดิม 10 มม. ถือว่าเป็นตัวช่วยเป็นให้ท่านั่งที่ในการขับขี่สบายขึ้นกว่าตัวเก่าเพราะผู้ขับขี่เองไม่ต้องก้มตัวลงไปจับแฮนด์มากเหมือนตัวเดิม สำหรับผมแล้วความรู้สึกแรกที่ได้คร่อมเจ้า CBR 600RR คันนี้ในสภาพพร้อมใช้งานที่มีน้ำหนักรวมของเหลวแล้วประมาณ 180 กิโลกรัม ผมรู้สึกได้เลยว่ารถคันนี้นั้นเบามากๆ เมื่อเทียบกับรถ CBR 1000RR ปี 2006 ไม่ว่าจะเป็นตอนเตะขาตั้งเพื่อใช้ขาสองข้างพยุงตัวเข็นรถ การจูงรถในท่าปรกติหรือแม้กระทั่งการใช้ขาตั้งหมุนรถเพื่อทำการจอด ความรู้สึกหลังจากที่ได้ลองขี่ในระยะสั้นๆ ในสนามของศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยที่มีโค้งแคบสลับกับกรวยยางที่วางตามทางเพื่อทดสอบการขับขี่ ผมว่าเจ้า CBR 600RR คันนี้นั้นไม่สร้างปัญหาให้ผมเลยใน การควบคุมในรอบต่ำและรอบกลางนั้นนิ่มนวล โค้งแคบๆ การควบคุมเป็นไปได้อย่างดีเยี่ยมจนบางทีนึกว่าขกำลังควบคุม CBR 150R อยู่ด้วยซ้ำ ฟีลลิ่งในการเบรคที่คมและการบังคับวงเลี้ยวในทางแคบที่ยอดเยี่ยม ต้องขอบคุณวิศวกรฮอนด้าที่ออกแบบรถที่มีน้ำหนักเบา จึงทำให้การควบคุมเป็นไปได้ง่ายเมื่อใช้ความเร็วต่ำ เช่นการทอลองขับขี่ในศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัย เนื่องจากยังไม่ได้ลองใช้งานบนถนนและในสนามแบบจริงๆ ความรู้สึกที่ได้จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่า CBR 600RR ตัวนี้ จะเจ๋งและแจ๋วอย่างที่นิตยสารหัวนอกหลายๆเล่มได้กล่าวชมกันไว้รึเปล่า ? หากได้ลองในสนามซักครั้งน่าจะสามารถบอกได้ว่าเจ้า CBR 600RR ตัวนี้ จะมันส์และให้ความรู้สึกขนาดไหน แต่สำหรับตอนนี้ผมคงจะอธิบายได้ถึงท่าทางการนั่งและขับขี่แบบปรกติทั่วๆไปเท่านั้น หากมีโอกาสได้นำ CBR 600RR คันนี้ไปลองในสนามพร้อมกับนักแข่งมืออาชีพฝีมือดีเมื่อไหร่ ผมสัญญาว่าจะนำภาพและบทบทสอบมาฝากทุกท่านแน่นอนครับ Honda-Superbike.com ขอขอบคุณ Honda Safety Riding Center ครู ศิลาทอง ที่ใจดีเป็นนายแบบจำเป็นให้ในบทความนี้ * World Supersport Championship คือรายการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์สี่จังหวะที่มีความจุกระบอกสูบตั้งแต่ 400-600cc สำหรับรถ 4 สูบ และ 600 - 750cc สำหรับรถ 2 สูบ โดยกฎกติกานั้นจะถูกควบคุมโดย FIM และรายการการแข่งขันนี้ถูกจัดขึ้นร่วมกับรายการ World Superbike รายละเอียดสามารถติดตามได้ผ่านทางเวบไซท์ http://www.worldsbk.tv/ * CBR 600 ได้ความแชมป์ World Supersport Championship เป็นสมัยที่ 7 ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2002-2007 โดยผ่านการบิดคันเร่งของนักบิดฝีมือเยี่ยมสังกัดทีม Ten Kate Honda ที่ดังต่อไปนี้ 2002 : Mr. Fabian Foret นักบิดจากประเทศฝรั่งเศษ สังกัดทีม Ten Kate Honda 2003 : Mr. Chris Vermeulen นักบิดจากประเทศ ออสเตรเลีย สังกัดทีม Ten Kate Honda 2004 : Mr. Karl Muggeridge นักบิดจากประเทศ ออสเตรเลีย สังกัดทีม Ten Kate Honda 2005 : Mr. Sebastien Charpentier นักบิดจากประเทศ ฝรั่งเศษ สังกัดทีม Winston Ten Kate Honda 2006 : Mr. Sebastien Charpentier นักบิดจากประเทศ ฝรั่งเศษ สังกัดทีม Winston Ten Kate Honda 2007 : Mr. Kenan Sofuoglu นักแข่งจากประเทศ ตุรกี สังกัดทีม HANNspree Ten Kate Honda's CBR 600RR Specification เครื่องยนต์ : 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความจุกระบอกสูบ : 599 ซีซี กระบอกสูบ X ช่วงชัก : 67 x 42.5 มม. อัตราส่วนกำลังอัด : 12.2 : 1 แรงม้า : 118 แรงม้าที่ 13,500 รอบต่อนาที แรงบิด : 6.7 กิโลกรัม-เมตร ที่ 11,250 รอบต่อนาที รอบเดินเบา : 1,400 รอบต่อนาที ความจุน้ำมันเครื่อง : 3.5 ลิตร ระบบจ่ายน้ำมัน : ระบบหัวฉีดแบบ PGM-DSFI พร้อมลิ้นเร่งขนาด 40 มม. กรองอากาศ : แบบกระดาษ ความจุถังน้ำมัน : 18 ลิตร (ถังสำรอง 3.5 ลิตร) ระบบจุดระเบิด : ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ องศาการจุดระเบิด : 8.2? BTDC (idle) ~ 45? BTDC (7,500รอบต่อนาที) หัวเทียน : IMR9C-9H (NGK); VUH27D (ND) ระบบสตาร์ท : มอเตอร์สตาร์ทไฟฟ้า แบตเตอรี่ : 12V / 8.6 AH อัตราชาร์ตไฟ : 343 W ไฟหน้า : 12V, 55W x 1 (low) / 55W x 1 (high) ระบบส่งกำลัง : คลัชแบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน ระบบคลัช : แบบสายเคเบิล ระบบเกียร์ : 6 จังหวะ ขนาดโซ่ : 525 แบบ O - Ring เฟรม : Fine Die-Cast aluminium มิติรถ (ยาวxกว้างxสูง) : 2,010 x 685 x 1,105 มม. ระยะฐานล้อ : 1,375 มม. วงเลี้ยว : 3.2 ม. ความสูงเบาะ : 820 มม. ระยะห่างจากพื้นถึงใต้ท้องรถ : 135 มม. น้ำหนักเปล่า : 155 กก. น้ำหนักพร้อมใช้งาน : 184 กก. (หน้า: 95 กก. ; หลัง: 89 กก.) น้ำหนักบรรทุกสูงสุด : 180 กก. น้ำหนักบรรทุกสูงสุด(รวมน้ำหนักรถ) : 364 กก. (หน้า: 130 กก. ; หลัง: 234 กก.) ระบบกันสะเทือน : ด้านหน้าแบบเทเลโคสปิค ขนาด 41 มม. ระยะยุบ 120 มม. ด้านหลังแบบ Unit Pro-Link ปรับระดับได้ ระยะยุบ 130 มม. ล้อ : ล้อหน้า อลูมีเนียม 3 ก้าน ขนาด 17M/C x MT3.50 ล้อหลัง อลูมีเนียม 3 ก้าน ขนาด 17M/C x MT5.5 ยาง : หน้า 120/70 ZR17M/C (58W) หลัง 180/55 ZR17M/C (73W) แรงดันลมยาง : หน้า 25 ปอนด์ , หลัง 29 ปอนด์ ระบบเบรค : หน้า ขนาดจานเบรค 310 x 4.5 มม. พร้อมปั๊มเบรคขนาด 4 ลูกสูบ หลัง ขนาดจานเบรค 220 x 5mm พร้อมปั๊มเบรคขนาด 1 ลูกสูบ

Make Model Honda CBR 600RR Year 2005 Engine Liquid cooled, four stroke, transverse four cylinder, DOHC, 4 valve per cylinder. Capacity 599 Bore x Stroke 67 x 42.5 mm Compression Ratio 12.0:1 Induction Dual Stage Fuel Injection (DSFI) Ignition / Starting Computer-controlled digital transistorized with three-dimensional mapping / electric Max Power 117 hp 66 KW @ 13000 rpm (rear tyre 102 hp @ 13500 rpm) Max Torque 66.6 Nm @ 11000 rpm Transmission / Drive 6 Speed / chain Front Suspension 41mm inverted HMAS cartridge fork with spring preload, rebound and compression damping adjustability; 119.5mm wheel travel Rear Suspension Unit Pro-Link HMAS single shock with spring preload, rebound and compression damping adjustability; 129.5mm wheel travel Front Brakes 2x 310mm discs 4 piston calipers Rear Brakes Single 220mm disc 1 piston caliper Front Tyre 120/70 ZR17 Rear Tyre 180/55 ZR17 Dry-Weight 163.7 kg Fuel Capacity 18 Litres Standing ¼ Mile 10.71 sec / 134.9 mp/h Standing 60mp/h 3.13 sec Standing 140mp/h 13.39 sec Top Speed 255.9 km/h

จะเอาละเอียดขนาดนั้น ก็นี่เลยครับ ... เข้าไปที่ google แล้วพิมพ์คำว่า CBR600RR แล้วกด Enter เลยครับ มีให้อ่านพอสมควรเลยล่ะ